ปั้นธุรกิจให้เติบโตแบบอย่างก้าวกระโดดด้วย Marketing Road Map Stategy
สำหรับผู้บริหารทุกคนที่อยากทำให้ธุรกิจของคุณนั้นเป็นที่รู้จัก แต่ยังจับแนวทางไม่ถูก และไม่รู้จะหาจุดเด่นให้กับธุรกิจของตัวเองอย่างไร วันนี้จะมาพูดถึงวิธีการปั้นธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วย Marketing Road Map Stategy ที่คุณสามารถทำตามได้อย่าง Step by step เมื่อคุณอ่านจบแล้ว คุณจะเริ่มมองทิศทางธุรกิจของตัวเองได้แน่นอน
ปัญหาที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องเจอคืออะไร
แน่นอนเลยว่าการเริ่มต้นธุรกิจต้องมีการเผชิญกับปัญหา หรือต่อสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคอยู่แล้ว และในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาธุรกิจ ที่ผู้บริหารส่วนใหญ่เจอกันครับ
อยากดันยอด อยากทำการตลาด แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี
ผู้บริหารส่วนใหญ่เลือกที่จะจ้างพนักงานตำแหน่งการตลาด ให้มาทำทุกอย่างตามแพลนที่วางไว้ คนไหนโชคดีหน่อยก็ได้พนักงานที่เก่ง มีความสามารถ ความชำนาญ ผลักดันธุรกิจให้โตได้ แต่ก็ไม่น้อยนะครับ ที่ต้องพบเจอกับความผิดหวัง เพราะพนักงานศักยภาพไม่ถึง แพลนไปต่อไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้วการหา Marketing ที่เก่งและค่าตัวพอไหวนั้น ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกครับ
จ้างบริษัทมาทำการตลาดให้ แต่ยังไม่เวิร์ค
การจ้างบริษัทมาทำการตลาดให้กับธุรกิจของคุณ แน่นอนว่ามีทั้งหลักพันถึงหลักล้าน ใครที่เคยผ่านการจ้างทีมบริหารในรูปแบบบริษัทมาก่อน จะรู้ว่าเกือบทุกที่ไม่ได้คุยบน KPI ที่มาทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างวัดผลได้ เช่น เรื่องของยอดขาย โอกาสใหม่ ๆ ช่องทางใหม่ในธุรกิจ รวมถึงไม่สามารถบอกได้ว่าทำวิธีไหนแล้วไม่เวิร์ค ควรจะหันไปทำวิธีอื่น
Marketing Roadmap ที่อยากมาเล่าให้ฟังและทำตามได้ทันที
เดือนที่ 1
วิเคราะห์รีเสิร์ช ตรวจสอบปัจจัย ดูสถิติเก่า ว่ายอดขายมาจากไหน แบ่งสัดส่วนของพอร์ทสินค้า จุดโดดเด่น เน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเดิม x สินค้าเดิม เพื่อขยายฐานจากลูกค้ากลุ่มนี้ก่อน
ผลลัพธ์ : รู้แล้วว่ายอดขายมาจากไหนและเริ่มเก็บข้อมูล
เดือนที่ 2
วางแผน Digital Marketing & Business Plan เพื่อที่จะเติบโตให้ได้ในระยะเวลา 1 ปี รวมทั้งสื่อสารกับทีมให้เตรียมรับยอดขายที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 10X
ผลลัพธ์ : รู้แล้วว่าต้องทำอะไร ตัวเลขเป็นอย่างไร ถึงจะมีโอกาสได้ 10X
เดือนที่ 3
จัดวางช่องทางการตลาดออนไลน์ คิดว่าจะให้ความสำคัญกับช่องทางไหนมากที่สุด และสื่อสารด้วยกลยุทธ์แบบใด พร้อมจัดทำคอนเทนต์ ทำโฆษณา เพื่อทดสอบความต้องการในตลาด
ผลลัพธ์ : มองเห็นโอกาสช่องทางที่จะสร้างยอดขาย 10X ให้กับคุณ
เดือนที่ 4-6
ปรับปรุงและพัฒนาแคมเปญ เพื่อให้ได้ ROI สูงสุด ไม่ใช่แค่ยอดการทักสูง แต่ต้องปิดการขายได้ ที่สำคัญกว่านั้น คือ แต่ละสินค้าต้องได้กำไรที่ดีด้วยรวมทั้งจำเป็นต้องปรับกระบวนการส่งมอบคุณค่า
ผลลัพธ์ : เห็นผลลัพธ์ว่า สิ่งไหนได้ 2X 3X 10X หรือ มากกว่านั้น และ มีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจว่าจะโตแบบไหน
เดือนที่ 7-8
กลับมาปรับพื้นฐานใหม่ ถ้าหากยังไม่ดี ก็ให้กลับไปดูกลุ่มลูกค้าเดิม x สินค้าเดิม ถ้าเริ่มโอเคแล้ว ให้เริ่มมองหา กลุ่มลูกค้าใหม่ x สินค้าเดิม เพื่อขยายฐานลูกค้า มองหาเป้าหมายใหม่ ๆ และช่วงชิงจุดที่มีความโดดเด่นในตลาด
ผลลัพธ์ : ปรับกระบวนท่า ว่า Happy กับผลลัพธ์แล้ว หรือจะไปต่อแค่ไหน
เดือนที่ 8-9
กลับมาโฟกัสที่พื้นฐานว่าคุณจะสามารถไปต่อได้แค่ไหน ก่อนเตรียมการขยายฐานอีกครั้ง ทั้งคนตอบแชท จำนวนสินค้า/บริการ บางครั้งอาจต้องเพิ่มทีมอีกเท่านึงเพื่อขยาย จึงทำให้บางคนพอใจกับการโต 2-4X แล้ว เพราะโต 10X จะมีการบ้านต้องทำอีกมาก เพราะนั่นหมายถึงหลายครั้งก็ต้องขยายทีมด้วย
เดือนที่ 10-11
กลับมาวัดผลอีกครั้งนึง เช่น กลุ่มลูกค้า / สินค้า / บริการ / คอนเทนต์ / ช่องทางการตลาด / การลงงบโฆษณา / อัตราปิดการขาย / กระบวนการทำงานภายในแบบไหนเวิร์ก แบบไหนไม่เวิร์ก ต้องพัฒนาอะไรบ้าง
เดือนที่ 12
ทบทวน Key Learning ทั้งหมด ว่าอะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก รวมถึงวางแผนการเติบโตต่อเนื่องในปีข้างหน้า จาก Road Map ทั้ง 12 เดือน คุณสามารถไปทดลองทำด้วยตัวเองได้เลย แต่ถ้าไม่พร้อมหรือรู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะทำ ผมแนะนำให้ลองทักมาคุยกันก่อนได้ครับ
Waymaker เป็นใคร ?
เราเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการตลาดออนไลน์ที่ “เน้นผลลัพธ์ที่วัดผลได้เป็นรูปธรรม” เราโดดเด่นเรื่องการรีเสิร์ชและการวางกลยุทธ์อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัททำการตลาดหลาย ๆ แห่งไม่ทำกัน และที่สำคัญเราดูแลธุรกิจลูกค้าเหมือนเป็นธุรกิจของเราเอง เพื่อที่คุณจะได้ไปทำในสิ่งที่คุณควรทำ การดูแลลูกค้า การหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด การคิดวิธีการใหม่ที่ได้ผลลัพธ์คุ้มค่ากับธุรกิจคุณ ส่วนนี้ให้เราดูแลเองครับ
ทำไมต้องจ้างที่ปรึกษาการตลาด
หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องจ้างที่ปรึกษาการตลาด ในส่วนนี้จะขอไขข้อข้องใจ ทั้งหมด 3 ประเด็น
- ที่ปรึกษา vs คนทำงาน / Agency ต่างกันอย่างไร ?
- คุณควรจ้างที่ปรึกษาไหม ?
- Way Maker Team ทำงานอย่างไร ทำไมต้อง Way Maker ?
ที่ปรึกษา VS คนทำงาน / Agency ต่างกันอย่างไร
ที่ปรึกษา คือ คนคิด (Thinker) Agency ส่วนคนทำงานในบริษัท คือ คนทำ (Doer) หลายครั้งเราทำงานร่วมกัน เพราะถ้ามีแต่คนทำ ไม่มีคนคิด ก็ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ ถ้ามีแต่คนคิด ไม่มีคนทำ กลยุทธ์ก็เสียเปล่า ถ้ามีคนคิด ก็ต้องมีคนทำเสมอ 'เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่คิดมา' ดีหรือไม่
คุณควรจ้างที่ปรึกษาไหม
ถ้าถามว่าคุณควรจ้างที่ปรึกษาหรือเปล่า คำตอบ คือ อยู่ที่โจทย์ และองค์กรของคุณ
- ขึ้นอยู่กับโจทย์
โดยมีโจทย์ คือ กำลังตั้งองค์กรใหม่ อยากวางแผนการตลาดให้แน่นตั้งแต่แรกอยากเพิ่มยอดขายมากกว่า 2 เท่าในปีนี้ อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์เลยต้องเพิ่มยอดขาย อยากเข้าใจลูกค้า คู่แข่ง หาจุดแข็งของตัวเอง อยากรู้ว่าจุดยืนของแบรนด์เราควรอยู่ตรงไหน อยากออกสินค้าใหม่
จากตัวอย่างโจทย์ด้านบน เป็นโจทย์ที่ถ้าให้ทีมภายในคิดด้วยตนเอง จะค่อนข้างยาก เพราะหลายครั้ง ไม่มีคนที่ทำสายกลยุทธ์มาโดยตรง หรือ ไม่มีเวลามากพอ จึงให้ที่ปรึกษามาช่วยคิดในส่วนนี้ให้
- ขึ้นอยู่กับองค์กร
องค์กรที่เหมาะในการจ้างที่ปรึกษา มักเป็นขนาดกลางไปจนถึงมหาชน ที่มีรายได้ 50 ล้านบาทขึ้นไป เพราะงานที่ปรึกษาเป็นงาน Customize มาก ๆ ทำให้มีราคาเริ่มต้นเดือนละหลักแสน ซึ่งองค์กรที่จะได้ประโยชน์ จึงมักเป็นองค์กรขนาดกลางขึ้นไปที่เมื่อพัฒนาการคิดได้แล้ว จะส่งผลคุ้มค่ามากกว่างบที่จ้างไป
เช่น รายได้ 500 ล้าน + 20% = 600 ล้าน
รายได้ 50 ล้าน + 20% = 60 ล้าน
แต่ถ้า รายได้ 5ล้าน + 20% = 6 ล้าน
พอเทียบแล้ว องค์กรที่รายได้ 50ล้านขึ้นไป จะก็ค่อนข้างคุ้มค่าในการลงทุน จึงเป็นสาเหตุที่ องค์กรขนาดใหญ่ มักนิยมใช้ที่ปรึกษามาช่วยคิดกันบ่อย ๆ เพราะต้องการบุคคลผู้เชี่ยวชาญทางด้านกลยุทธ์ มาช่วยให้คำแนะนำ ซึ่งคุณสามารถพูดคุยกับที่ปรึกษาการตลาด ได้ที่ Line : @waymaker